กรรมไล่ล่า ตอน มือถือสาก ปากถือศีล - นิยาย กรรมไล่ล่า ตอน มือถือสาก ปากถือศีล : Dek-D.com - Writer
×

    กรรมไล่ล่า ตอน มือถือสาก ปากถือศีล

    ผู้เข้าชมรวม

    10

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    10

    ผู้เข้าชมรวม


    10

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  20 พ.ย. 67 / 12:52 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    อิฐเป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน แม่เป็นครู พ่อทำงานข้าราชการ ด้วยความที่แม่เป็นครู อิฐเลยค่อนข้างที่จะต้องอยู่แบบมีระเบียบมากสักหน่อย อิฐอยู่โรงเรียนเป็นเด็กดี เรียบร้อย เรียนใช้ได้

     

             พอเรียนจบก็ไปทำงานกับเพื่อนที่ร้านรับจัดงานแต่งงาน มีรายได้พอสมควร ซึ่งตัวอิฐนั้นจะว่าชายก็ไม่ใช่ เพราะมีใจรักชายด้วยกัน แต่พ่อกับแม่นั้นไม่มีใครรู้เลย

             

             ซึ่งพอมีเวลาว่างหลังจากไม่มีงานจัดงานแต่ง อิฐก็จะไปวัดอยู่เป็นประจำ และด้วยความที่เป็นผู้ชายก็เลยได้รับการเรียกใช้งานในวัดอยู่เสมอ และวัดที่อิฐชอบไปนั้นก็เอ็นดูและรักใครอิฐมากทีเดียว พอมีเทศน์ทีไร อิฐก็จะต้องไปทุกครั้งไม่มีขาด แล้วถ้าหากมีคนใหม่ๆมาเข้าวัด

    อิฐก็จะคอยด้อมๆมองๆเพื่อคอยสังเกตการณ์

     

             อยู่มาวันหนึ่งก็มีผู้หญิงผู้ซึ่งทุกข์โศกจากปัญหาทางบ้านและชีวิตส่วนตัว เลยหันหน้ามาพึ่งวัดพึ่งวา โดยมาขอบวชอยู่ที่วัดถึง 3 วัน ซึ่งคนที่วัดก็ให้การเอ็นดูด้วยความสงสาร เธอมีชื่อว่าดา

     

             ดาเป็นผู้หญิงที่หน้าตาน่ารัก รูปร่างผอมบาง มีฐานะปานกลาง เวลามาวัดก็จะขับรถมา ซึ่งราคารถก็ค่อนข้างแพงอยู่ ซึ่งมาวัดแรกๆนั้น อิฐไม่ได้สนใจดามากนัก เพราะว่าอิฐนั้นหมายปองภูผา เด็กรุ่นน้องชั้นมัธยมปลายของโรงเรียนที่วัดแห่งนี้ ทุกครั้งที่มีงานวัด อิฐก็จะชวนภูผามาด้วย และเกือบทุกครั้งก็จะไปรับ ไปส่งทุกครั้ง

     

             แต่ในความเป็นจริงแล้ว ภูผานั้นมีแฟนเป็นผู้ชายที่มีใจเป็นหญิงอยู่แล้วคนหนึ่งและเรียนที่เดียวกัน ซึ่งอิฐก็รับรู้เรื่องนี้ด้วย แต่ยังคอยไปรับ ไปส่งภูผาทุกครั้งที่มาวัด พอเสร็จจากกิจในวัด ทั้งคู่ก็จะพากันไปกินข้าวและอิฐจะเลี้ยงภูผาทุกครั้ง

     

             จนกระทั่งภูผานั้นได้แฟนใหม่เป็นหนุ่มหน้ามลดูดี และภูผาก็ติดแฟนมาก เลยไม่ค่อยได้เจอกับอิฐสักเท่าไหร่ อิฐนั้นก็ได้แต่เฝ้ามองภูผาผ่านทางโลกโซเชียลเท่านั้น เพราะเวลาไปวัดภูผาก็จะพาแฟนหนุ่มคนใหม่มาด้วย หรือถ้าไม่พามาก็จะต้องรีบกลับบ้านไปหาแฟน

     

             โดยหลังจากที่อิฐไม่ค่อยได้เจอกับภูผาแล้ว ก็เริ่มหันมาสนิทสนมกับดา สาวรุ่นพี่ผู้ใจดี

    ทุกครั้งที่มาวัดก็จะชวนดามาตลอด เสร็จจากวัดก็จะชวนไปกินข้าวกันต่อ ซึ่งครั้งแรกที่ไปด้วยกันนั้น ดาผู้เป็นรุ่นพี่ก็ได้เลี้ยงข้าวอิฐ เพราะเห็นว่าเป็นน้อง

     

           “ไม่เป็นไร อิฐ เดี๋ยวมื้อนี้ พี่เลี้ยงเอง” อิฐนั้นรู้สึกดีใจเป็นยิ่งนัก

     

             หลังจากนั้นอิฐก็จะชวนดามาวัดตลอด แล้วก็พากันไปกินข้าว แต่หลังจากมื้อแรกเรื่อยมา

    อิฐก็ไม่เคยควักเงินเลย พอกินข้าวกันเสร็จก็จะเดินออกจากร้านไปก่อน แล้วปล่อยให้ดานั้นจ่ายเงินทุกครั้ง

     

             แรกๆ ดาก็ยังไม่คิดอะไรมาก แต่พอหลายครั้งเข้า ดาก็เริ่มรุ้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่

    แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร

     

           ครั้นหลังจากนั้นไม่นานอิฐก็มีน้องสาวที่สนิทที่มาวัดเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง นั่นก็คือแก้มใส โดยแก้มใสนั้นแรกๆ ก็มาวัดอยู่บ่อยครั้ง แต่มาได้ไม่นานก็ต้องไปเรียนต่อที่กรุงเทพ พอใกล้เวลาที่จะไป อิฐก็จัดแจงชวนภูผา แก้มใส และพี่ดาไปกินข้าวกัน โดยบอกว่าอยากเลี้ยงส่งแก้มใสที่จะไปเรียนต่อ ซึ่งทุกๆคนก็พร้อมใจกันไปแล้วก็สั่งกันตามที่ทุกคนอยากกินที่ร้านอาหารราคาแพงร้านหนึ่ง

     

             แต่ครั้นพอถึงเวลาจ่ายเงิน ทุกคนก็นั่งกันนิ่ง แล้วอิฐก็บอกพนักงานให้เอาบิลไปให้กับพี่ดา ซึ่งพี่ดานั้นก็แอบรู้ตัวอยู่นิดๆ ก็เลยจ่ายค่าข้าวทั้งหมดไปราคาหลายพันอยู่ทีเดียว

    แล้วทุกคนก็พร้อมใจกันยกมือไหว้พี่ดา

     

             และแน่นอนพี่ดาก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นเคย ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ดานั้นไม่ได้สนิทสนิมกับแก้มใสเลยด้วยซ้ำ แต่ก็เหมือนทุกครั้ง ที่โดนอิฐหลอกให้มาเลี้ยงข้าวทุกคน หลังจากนั้นเป็นต้นมา ดาก็ไม่ค่อยได้เจออิฐมากเท่าไหร่ เพราะอิฐยุ่งอยู่กับงานมาก แล้วดาก็ย้ายไปเข้าวัดอีกวัดหนึ่งแทน

           

           จนกระทั่งวันหนึ่งที่ดามาที่วัดเดิมที่เคยมา ก็ได้เจอกับรุ่นน้องชื่อบัว บัวมาวัดได้ไม่กี่ครั้ง

    แล้วทุกครั้งก็มาคนเดียว แม่ชีที่วัดเลยแนะนำให้บัวรู้จักคุ้นเคยกับดาไว้ ซึ่งบัวนั้นอายุอ่อนกว่าดา และมีสามีอยู่คนหนึ่งแต่ไม่มีลูกด้วยกัน

     

             ซึ่งบัวกับดาก็ได้ทำการพูดคุยกัน และดาก็รู้สึกดีที่มีเพื่อนเพิ่มขึ้นมา มิหนำซ้ำยังรู้สึกว่าบัวนั้นเป็นรุ่นน้องที่ดี เพราะเวลาไปกินข้าวกัน บัวจะคอยแชร์ค่าอาหาร ต่างจากอิฐที่ไม่เคยออกเลย และแค่การจ่ายเงินค่าอาหารก็ทำให้ดารู้สึกว่าบัวน่าจะเป็นคนดี ก็เลยเล่าเรื่องปัญหาในชีวิตให้บัวฟัง ซึ่งบัวก็รับฟังเป็นอย่างดีแล้วก็ให้กำลังใจดามาโดยตลอด

     

             ดาผู้ซึ่งมีปัญหาที่บ้านและมีปัญหากับคนรักถึงขั้นต้องเลิกรากัน ก็เริ่มมีความรู้สึกว่าชีวิตกำลังจะดีขึ้นแล้ว เพราะในที่สุดก็มีคนที่เข้าใจและอยู่เป็นเพื่อนในเวลาที่ดานั้นรู้สึกแย่ และทุกวันอาทิตย์ ดาก็จะถามบัวว่าจะไปวัดด้วยกันไหม

     

             ซึ่งถ้าหากเป็นวัดที่ดาเคยไปมาก่อน บัวก็จะให้มารับไปด้วยกัน แต่ถ้าเป็นวัดใหม่ที่ดานั้นชอบไปเช่นกัน บัวก็จะไม่ไป แต่จะให้แฟนของตัวเองไปส่งที่วัดแรกที่เคยไปแทน

     

             จนอยู่มาวันหนึ่งดาทุกๆ คนก็ได้ไปวัดพร้อมๆ กัน แต่หลังจากเสร็จงานจากวัด อิฐก็ชวนทุกๆคนไปกินข้าวกันต่อ ซึ่งภูผานั้นปฏิเสธเพราะต้องไปกับแฟน จะมีก็แต่อิฐ บัวแล้วก็ดา ครั้นพอกินข้าวกันเสร็จ ดาก็บอกให้บัวนั้นออกไปก่อน บัวก็ได้ตกปากรับคำ ออกค่าข้าวไปก่อน

     

             พอหลังจากแยกย้ายกัน ดาก็ได้ถามบัวถึงค่าอาหารให้หารกัน แล้วก็เอาเงินให้บัวไป

    ส่วนบัวผู้ไม่เคยรู้เลยว่าอิฐไม่เคยจ่าย ก็ไปทวงเงินกับอิฐ และอิฐก็ต้องจ่ายให้กับบัวแบบเสียไม่ได้ และด้วยความสนิทสนมกับบัว ดาเลยได้เล่าความจริงให้ฟังว่า อิฐนั้นไม่เคยจ่ายค่าอาหารเลยสักครั้ง และดาก็ไม่กล้าที่จะทวงอีกด้วย

     

             พอบัวได้ยินก็ตกใจ แล้วก็บอกกับดาว่า

           “อ้าว พี่ดา หนูไม่รู้ หนูทวงเงินน้องไปแล้ว”

           “ไม่เป็นไรบัว บัวทำถูกแล้ว อย่าเป็นเหมือนพี่ที่ไม่กล้าทวง แล้วก็เกรงใจไม่อยากทวงจนถึงทุกวันนี้”

           “อ๋อๆๆ ได้ค่ะพี่ดา” ดาพูดด้วยความห่วงใย

     

             แต่หลังจากนั้นเวลาที่ต้องไปเจอกันที่วัด อิฐก็จะพยายามไม่ชวนไปกินข้าวกันต่อ

    หรือถ้าหากว่าไป อิฐก็จะจ่ายค่าข้าวของอิฐคนเดียวก่อน ส่วนคนที่เหลือก็จะจ่ายกันเอง

     

             ในส่วนของดา พอเห็นอิฐเริ่มทำแบบนี้ ก็รู้สึกดีใจลึกๆ ว่าไม่ต้องรุ้สึกกระอักกระอ่วนใจทุกครั้ง ที่ต้องไปกินข้าวกัน

     

             หลังจากนั้นเป็นต้นมาดาก็เริ่มสนิทกับบัวมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็บอกบัวว่า เรื่องส่วนตัวของดานั้น ดาไม่เคยเล่าให้ใครในวัดฟังเลยนะ บอกเป็นนัยๆว่าไม่อยากให้ใครรู้เรื่องส่วนตัว

    บัวนั้นก็บอกว่า

     

           “บัวก็ไม่เคยเล่าเรื่องพี่ให้ใครฟังเลยนะคะพี่ดา”

           “อ๋อ พี่ก็เหมือนกัน เรื่องของบัวพี่ก็ไม่เคยเล่าเลยนะ”

           “ค่ะ พี่ดา” ทั้งสองพูดจากันด้วยความสนิทสนม

     

             ครั้นพอเวลาผ่านไปหลายเดือน วันหนึ่งทั้งสี่คนก็ได้มาเจอกันที่วัด ซึ่งพอเสร็จจากการเข้าวัด ฟังธรรมแล้ว อิฐก็ชวนดาไปอีกวัดหนึ่ง ซึ่งดาก็เห็นว่าไม่ได้ไปไหนกันนานแล้ว ก็คงไม่มีอะไรเสียหาย ก็เลยตกปากรับคำ แต่ว่าบัวกับภูผานั้นกลับขอตัวกลับบ้านก่อน

     

             ดาเลยต้องไปกับอิฐแค่สองคน ครั้นพอไปถึงวัด อิฐก็เดินไปตรงบริเวณที่ขายพระของทางวัด เพราะว่ามีพระที่อิฐนั้นอยากได้เก็บไว้ โดยมีดาเดินตามไปดูด้วย และดาก็ได้เลือกพระที่ดาอยากได้ติดตัวไว้หนึ่งองค์

     

             อิฐก็ได้เลือกพระที่ตัวเองอยากได้ไว้องค์หนึ่งซึ่งมีราคาแพงกว่าพระของดา พอถึงเวลาจะต้องทำการจ่ายเงิน อิฐก็บอกกับดาว่า

     

           “พี่ดาๆ พี่ออกไปก่อนนะ เดี๋ยวอิฐเอาให้” ซึ่งนี่เป็นประโยคที่ดาไม่เคยได้ยินมาก่อน

    เพราะทุกครั้งที่ไปกินข้าว อิฐจะไม่เคยพูดอะไร แต่คราวนี้อิฐเลือกที่จะบอกว่าเดี๋ยวจะเอาเงินให้

     

           “ได้สิ อิฐ” ดาแอบดีใจอยู่ลึกๆว่าอิฐนั้นคงรู้ตัว แล้วเปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้ว ดาก็ได้ทำการจ่ายเงินค่าเช่าพระทั้งสององค์ไป พร้อมกับเดินไปไหว้พระด้วยกัน

     

             พอเสร็จจากการไหว้พระ อิฐก็ขอตัวกลับบ้าน และตอนที่เดินไปที่รถดาก็นึกว่าอิฐจะหยิบเงินที่รถมาให้หรือเปล่า แต่อิฐก็ยกมือไหว้ดา แล้วก็ลาดากลับบ้านไป

     

             ดายืนด้วยความงงงวย ใจก็พลางคิดว่าเดี๋ยวอิฐคงส่งข้อความมาบอกเรื่องค่าพระแหละ เพราะเอ่ยปากไว้แล้วว่าจะคืนเงิน แต่พอทั้งคู่ถึงบ้าน อิฐก็ได้โทรหาดาเพื่อพูดคุยสัพเพเหระ แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องเงินค่าพระเลยแม้แต่น้อย

     

             ในระหว่างที่สนทนากันอยู่นั้น อิฐก็ได้ถามไถ่ดาเรื่องที่ดาจะไปทำงานอีกจังหวัดหนึ่ง

    ซึ่งดาก็บอกว่า เงินเหลือน้อยแล้วต้องไปหาเงิน แล้วอิฐก็หัวเราะใส่ดา เป็นทำนองว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ดาพูด มิหนำซ้ำยังบอกดาอีกว่า

     

             “เดี๋ยวโอนเงินให้ 200 ค่าพระนะ” แล้วก็หัวเราะใส่ดา เหมือนคนพูดเล่นๆไปงั้นๆ

     

             ซึ่งดาพอได้ยินแบบนี้แล้ว ก็รู้สึกแย่ในใจเป็นอย่างมาก เลยบอกกับตัวเองว่า ต่อไปนี้จะไม่มีการออกเงินให้กับอิฐอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นค่าข้าว หรือค่าของ เพราะที่ผ่านมาก็ไม่เคยบอกว่าจะให้ มีแค่ครั้งแรกที่บอก เพราะฉะนั้นหลังจากนี้จะไม่มีอีกแล้ว

     

           แล้วก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับบัวอีกด้วย เพราะหลังๆมานั้น บัวเริ่มไปสนิทกับอิฐมากขึ้น

    โทรคุยกันทีละหลายๆชั่วโมง แล้วที่ดารู้มาก็เพราะว่าบัวบอกว่าได้คุยกับอิฐบ่อยๆแต่ก็ไม่ได้บอกดาว่าคุยเรื่องอะไรกัน

     

             จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่งพระที่วัดได้บอกกับดาว่า อยากไปจะสวดให้กับบ้านของดาสักหน่อย ซึ่งดาก็ยินดีและไม่ขัดข้องเลย แต่ดาไม่อยากชวนใครเลยนอกจากบัว

     

             พอถึงวันก็ได้ชวนบัวไปด้วย ซึ่งก็มีบัว พระสงฆ์ และคนที่วัดอีกสามคนซึ่งพระท่านเป็นคนชวนมาด้วย หลังจากเสร็จพิธี ดา บัวและคนที่วัดก็ไปกินข้าวกันที่ร้านตามสั่งร้านหนึ่ง

     

             หลังจากที่กินกันเสร็จ คุณลุงที่มีอายุมากที่สุดก็ออกเงินค่าข้าวให้กับทุกคน โดยบอกว่า

     

           “ลุงแก่ที่สุด ให้ลุงออกให้เถอะนะ” ทุกคนก็ไม่ได้ขัดอะไรคุณลุง เพราะอยากตามใจ

    หลังจากเสร็จงานสวดให้ดาที่บ้านแล้ว ดาก็รู้สึกสบายใจขึ้นและคิดว่าต่อไปนี้ก็คงจะมีแต่เรื่องดีๆ

    คนดีๆ รวมไปถึงบัวที่ดามั่นใจว่าสนิทกันมาก และบัวก็เป็นคนที่ดีไม่น้อยเลยทีเดียว

     

             หลังจากวันนั้นดาก็ไปอีกวัดหนึ่ง ด้วยความเป็นคนเชื่อมั่นในธรรมะก็จะไปทุกวันอาทิตย์ไม่มีขาด แต่ก็ไม่มีบัวไปด้วย เพราะบัวไม่ชอบมาวัดนี้ บอกแค่ว่าไม่คุ้นเคยเลยไม่อยากมา

     

             โดยหลังจากที่ผ่านไปได้ไม่ถึงเดือน ก็ใกล้ถึงวันเกิดของอิฐ ซึ่งอิฐก็ได้โทรหาดาก่อนวันเกิดสามวัน

           

           “พี่ดาๆ วันจันทร์นี้วันเกิดอิฐล่ะ”

           “อ๋อๆ happy birthday นะ”

           “เนี่ย มาวัดสิ จะได้เจอกัน”

           “เอ่อ พี่ไม่แน่..”

           “น่า วันเกิดหนูด้วย มาเสร็จก็จะได้ไปกินฉลองกัน” ดานั้นก็คิดในใจว่า ตัวเองจะไม่เลี้ยงข้าวอิฐอีกต่อไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร

     

           “พี่ไม่แน่ใจว่าจะว่างหรือเปล่านะ”

           “ว่างก็มานะ มากันหลายๆคน รับพี่บัวมาด้วยนะ” อิฐสั่งดาเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา

    ซึ่งบัวก็พูดเลี่ยงไปว่าอาจจะไม่ว่าง

     

             พอหลังจากวางสายแล้ว ดาก็ได้โทรหาบัวแล้วเล่าให้ฟังเรื่องวันเกิดของอิฐ ซึ่งบัวก็บอกว่า บัวไม่แน่ใจว่าจะไปได้ไหม

     

             ถัดมาในวันรุ่งขึ้น อิฐก็ได้โทรหาดาอีกรอบหนึ่ง

           “พี่ดา ตกลงไปได้ไหมอ่ะ”

           “พี่ยังไม่รู้เลย”

           “โห ถ้าพี่ไม่ไป ก็ไม่มีคนไปรับพี่บัวน่ะสิ”

           “อือ ก็ยังไม่รู้นะอิฐ”

           “เอ้อ เนี่ยเห็นพี่บัวบอกว่ามีเชิญพระไปสวดให้ที่บ้านเหรอ พี่บัวเค้าส่งรูปให้ดูอ่ะ”

     

             ดาก็อึ้งไปพักนึง เพราะว่าไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครเลย นอกจากบัวที่ชวนมาด้วยในวันนั้น

           “อ๋อ ใช่ พอดีพี่ไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่น่ะ อยากทำแบบเงียบๆ เลยไม่ได้บอกใคร” 

           “เอ้า เห็นว่าลุงประสงค์แกไปด้วยนี่ ไหนจะป้าสุขอีก”

           “อ๋อ นั่นพี่ก็ไม่ได้ชวนแต่พระท่านชวนมา”

           “แหมมม คนอื่นได้ไป แต่น้องไม่ได้ไป น้อยใจ”

           “โถ อย่าน้อยใจเลย พี่ไม่ได้ชวนใครเลยจริงๆ”

           “แล้วเป็นไงล่ะ ป้าสุขแกพูดมากนี่”

           “อือ แกก็ถามซักไซร้ว่าชีวิตพี่เป็นยังไง มายังไงถึงมาเข้าวัดบ่อยๆ แต่พี่ก็ไม่ได้บอกไปนะ”

     

             ซึ่งเอาเข้าจริงๆเรื่องที่ดามีปัญหาชีวิตนั้น ดาไม่เคยบอกใครเลยนอกจากบัวคนเดียว เพราะไว้ใจ และได้เคยย้ำกับบัวด้วยว่า คงไม่บอกเรื่องนี้กับใครนอกจากบัวคนเดียว

     

           “อ๋อ แต่หนูรู้นะว่าทำไม พี่ดามีปัญหาชีวิตอะไร”

           “เอ้าเหรอ” ดาตอบกลับอิฐไปแบบงงๆ

           “ใช่ หนูรู้”

           “เอ้า แล้วหนูรู้จากใคร”

           “ไม่บอกหรอก เอาเป็นว่ารุ้แล้วกัน ว่าพี่ดาเป็นยังไง ชีวิตเป็นยังไง รู้หมดแหละ”

           “อ๋อ อือ” ดาตอบรับแบบงงๆ 

           “สรุปวันเกิดหนูมาไหมล่ะ”

           “เดี๋ยวพี่บอกอีกทีนะ”

           “อะๆๆ ก็ได้ แล้วบอกด้วยแล้วกัน”

           “จ้า” ดานั่นข่มเสียงเอาไว้ ไม่ให้รู้ว่ารู้สึกไม่ดี

     

             อย่างแรกเลย เรื่องส่วนตัวของดา ดาไม่เคยเล่าให้ใครฟัง และไม่อยากให้ใครรู้โดยเฉพาะอิฐ แล้วอีกอย่างบัวก็เอาเรื่องพระมาสวดที่บ้านไปบอกทั้งๆ ที่ดาก็บอกบัวไปแล้วว่าไม่ได้บอกใคร ว่าแล้วดาก็ส่งข้อความไปหาบัวโดยบอกว่า

     

             “บัว เนี่ยพี่คุยกับอิฐ อิฐบอกบัวส่งรูปที่วันนั้นพระมาสวดที่บ้านให้อิฐดูพี่ไม่ได้บอกอิฐนะว่ามีพระมาที่บ้าน เนี่ยอิฐมันคงน้อยใจพี่” บัวอ่านแล้วก็รีบตอบกลับทันทีว่า

             “น้องมันคงงอนมั้งพี่” แล้วดาก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปอีกเลย ซึ่งแน่นอน บัวเห็นดาอ่านข้อความแต่ไม่ตอบ ก็เกิดความร้อนรน เพราะว่าปกติดาเป็นคนที่อ่านข้อความแล้วจะตอบกลับทุกครั้ง

           ในวันรุ่งขึ้นบัวเลยส่งข้อความไปหาดาว่า

     

             “พี่ดา หนูขอโทษนะ หนูไม่รู้ว่าจะทำให้อิฐมันงอนพี่”

           ดาเห็นข้อความแต่ก็ยังไม่อยากตอบ เลยปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมาหลายชั่วโมง

    แล้วตอบกลับไปว่า

           “ไม่เป็นไร”  พร้อมกับส่งข้อความหาอิฐว่า

           “วันเกิดอิฐพี่ไม่ว่างนะ ขอโทษด้วย” ซึ่งอิฐก็ตอบกลับมาว่า

           “ไม่เป็นไร ไว้โอกาสหน้า”

     

             หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ดาก็พยายามไม่คุยกับบัวและอิฐอีกเลย แต่บัวนั้นคงรุ้ตัวแล้วว่าพี่ดาจับได้ว่าตัวเองแอบเอาพี่ดาไปนินทากับอิฐ เลยพยายามส่งข้อความมาหาทุกวัน

    แต่ดาก็เลือกอ่านบ้าง ไม่อ่านบ้าง นานๆทีถึงจะตอบบ้าง พอหลายๆ วันเข้า บัวก็เลิกส่งข้อความหาดาไปเอง

     

             หลังจากเวลาผ่านไปหลายอาทิตย์ ก่อนที่ดาจะเดินทางไปทำงานที่ต่างจังหวัด ดาก็ได้ไปที่วัดที่เคยไปกับอิฐและบัวบ่อยๆ แล้วได้เข้าไปนั่งคุยกับลุงประสงค์หลังจากเสร็จจากฟังธรรม

           

           “เอ้อ ไม่เห็นมาวัดนานเลยนะ” ลุงประสงค์เอ่ยถามตามประสาคนแก่ห่วงลูกหลาน

           “อ๋อ ไปอีกวัดนึงน่ะลุง”

           “เออ ดีๆๆแล้ว ไปวัดอย่าได้ขาดนา”

           “จ๊ะลุง”

           “เอ้อ แล้วเรื่องแฟนกับเรื่องครอบครัวเป็นไงบ้าง” พอดาได้ยินดังนี้ ก็หันขวับมามองหน้าลุงด้วยความประหลาดใจ

           “ลุงรุ้เรื่องนี้ได้ไง”

           “เอ้า ก็ไออิฐกับเจ้าบัวมันเอามาพูดเมื่อสองอาทิตย์ก่อน มันมาเล่าให้ทุกๆคนฟังเลย ว่าดามีปัญหาอะไรบ้าง เฮ้อ! ลุงฟังแล้วก็ไม่รู้ว่าความจริงเป็นยังไง”

           “แล้วพวกเค้าเล่าว่ายังไงบ้างล่ะลุง”

           “เอ้อ เอ็งอย่าไปรู้เลยว่ามันเล่ายังไง ลุงแค่อยากรู้ว่าเอ็งดีขึ้นไหม”

           “เอ้า ลุง อยากรู้ บอกหน่อย” ดาส่งเสียงอ้อนวอนให้ลุงเล่าเรื่องให้ฟัง

           “เฮ้อ มันพูดกับคนในวัดไปทั่ว พูดไปหัวเราะไป บอกว่าเอ็งน่ะเป็นผู้หญิงไม่ดีจะไปแย่งของชาวบ้านเค้า สุดท้ายก็เลยโดนทิ้ง แล้วเรื่องครอบครัวที่บ้าน ก็เป็นเพราะเอ็งทำตัวไม่ดี คนที่บ้านเค้าเลยไม่ชอบเอ็ง” 

           ดาได้ยินแบบนั้นก็ถึงขั้นตกใจ ตาโตขึ้นมาทันที

           “เออๆๆ ไม่ต้องตกใจ ลุงไม่รู้ว่าความจริงเป็นยังไงหรอก แต่เห็นพวกเอ็งสนิทกัน ไม่คิดว่ามันจะเอาเอ็งมาพูดลับหลังแบบนี้ ลุงรู้แต่ว่า เข้าวัด เข้าวา มันก็ไม่ควรนินทาคนอื่น”

           “มันไม่ใช่เรื่องจริงเลย ลุง” ดาบอกลุงด้วยเสียงสั่นเครือ

           “เออๆๆ ไม่เป็นไร เอ็งอย่าคิดมาก ลุงไม่สนหรอกว่ามันจริง แต่ลุงคิดว่ามันไม่ควรเอาเอ็งมานินทา พวกเอ็งสนิทกันน่ะ เพื่อนที่ดีเค้าก็ต้องไม่นินทากัน”

           “ขอบคุณนะลุง” ดาบอกพร้อมยกมือไหว้ลุง

           “งั้นหนูขอตัวกลับก่อนนะคะลุง”

           “เออ ไปดีมาดี อย่าคิดมาก” ดาก็ผละจากลุงประสงค์มา

             

             พลางเดินก้มหน้าเพราะไม่อยากเห็นหน้าคนในวัด ใจก็คิดว่าไม่รู้ว่าพวกที่ได้ยินอิฐกับบัวพูดถึงตัวเองจะคิดยังไง

     

             พอกลับมาถึงบ้าน ดาก็บอกกับตัวเองว่าต่อไปนี้จะไม่ยุ่งกับสองคนนี้อีกต่อไป พลางบอกกับตัวเองว่า

           “ทำเป็นเข้าวัด พูดดีกับคนอื่น สุดท้ายก็เอาคนอื่นมานินทา วันหนึ่งกรรมจะสนอง”

           พูดจบดาก็ผล๊อยหลับไป วันรุ่งขึ้นก็เดินทางไปทำงานอีกจังหวัดหนึ่งโดยไม่ติดต่อบัวกับอิฐอีกเลย

     

             หันกลับมาที่บัวกับอิฐ เรียกได้ว่าศีลแทบจะเสมอกัน แต่แน่นอนคนพวกนี้มันอยู่ด้วยกันก็รังแต่จะมีเรื่องกันเอง เพราะบัวนั้นก็เอาอิฐไปนินทากับคนอื่นว่ากินข้าวไม่ยอมจ่ายค่าข้าวกับดาเลย แถมยังปั้นแต่งเรื่องเพิ่มขึ้นมาอีก เพื่อให้ทุกๆคนนั้นเกลียดอิฐ

     

             ในส่วนของอิฐนั้น พอดาไม่อยู่แล้ว ก็มีคนหน้าใหม่เข้ามาวัด พอเห็นคนไหนดูมีเงินหน่อย ก็เข้าไปตีสนิทแล้วก็ทำเหมือนที่ทำกับดา ให้เค้าเลี้ยงข้าวให้ซื้อของให้ ทำเป็นเหมือนจะจ่ายแต่ก็ไม่จ่าย เรียกได้ว่าหลอกกินฟรีไปหลายคน พอหนักเข้าคนที่โดนหลอกก็เริ่มเอาไปพูดกับลุงประสงค์ ลุงที่เป็นที่เคารพรักกันในหมู่พวกคนที่มาวัด คนเดียวพูด ลุงก็ยังไม่ทำอะไร

           แต่พอสองคน สามคน สี่คน หลายคนเข้า แล้วทุกคนก็ถึงขั้นบอกว่า

           “ทำไมวัดนี้มีแต่คนหลอกกินของคนอื่น”

           “อีกคนก็ชอบนินทาคนอื่นอีก” ซึ่งคนนี้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากบัว ที่พอสนิทกับใคร ก็จะชอบเอาเรื่องคนนั้นไปนินทา ใส่สีตีไข่ ให้เรื่องมันแย่ลง และทำให้คนนั้นดูไม่ดีในสายตาคนอื่น จนทุกๆคนที่เป็นคนเก่าคนแก่นั้นก็ส่ายหน้ากัน เพราะมีแต่คนมาเล่าให้ฟังถึงพฤติกรรมของบัวกับอิฐ จนพาลกันไม่อยากจะมาวัดนี้อีกต่อไปแล้ว

     

             มิหนำซ้ำยังบอกทุกๆคนว่า อย่ามาวัดนี้เพราะว่ามีคนไม่ดีมาวัดอยู่บ่อยๆ เรื่องนี้กลายเป็นที่โจษจันกันในพวกชาวบ้านในพื้นที่ไปทั่ว

     

             จนกระทั่งวันหนึ่งอิฐก็ได้รับรู้เรื่องที่บัวเอาอิฐไปนินทา อิฐเลยได้โทรไปดุด่าบัวแบบไม่ไว้หน้า แถมยังตัดขาดกับบัว แล้วบอกบัวว่าห้ามมาวัดอีก ซึ่งบัวนั้นพอได้ยินอิฐพูดแบบนี้ ก็เอาเรื่องไปบอกลุงประสงค์ ลุงนั้นรับรู้ทุกเรื่อง และได้แต่เฝ้าดูมานานเลยบอกกับบัวว่า

     

           “บัวเอ๊ย เอ็งน่ะนะ เที่ยวเอาเรื่องคนอื่นเค้าพูดไปทั่ว การนินทาคนอื่นมันเป็นเวรเป็นกรรมนะเอ็ง เอ็งรู้ไหมว่าคนอื่นเค้าก็พูดถึงเอ็งไม่แพ้กัน ต่อหน้าเอ็งทุกคนเค้าก็ไว้หน้าพระสง องคเจ้า แต่พอออกนอกวัดไป เอ็งนี่ไม่ต่างจากพวกขี้อิจฉา เอาแต่นินทาคนอื่น ข้าน่ะอยากจะเตือนเอ็งนะ ไอบัว” บัวได้ยินลุงประสงค์พูดแบบนี้ ก็เกิดอารมณ์อยู๋ในใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกไป

           “ขอบคุณนะลุง”

           “เออๆๆ เอ็งก็ปรับปรุงตัวนะ การรู้จักสำนึกผิดเป็นสิ่งที่ดีนะเอ็ง”

           “จ๊ะลุง”

             

             พูดจบบัวก็เดินหันหลังออกมาจากวัด โดยระหว่างที่เดินออกมา ทุกคนในวัดก็มองหน้าบัว แล้วก็พากันซุบซิบนินทา โดยไม่สนพระสงฆ์อีกแล้ว ตัวของบัวนั้นก็สังเกตได้ ครั้งพอจะเข้าไปไหว้ลุงๆ ป้าๆ คนอื่นที่เคยคุย พวกเค้าก็รีบเดินหนี เพราะไม่อยากคบค้าสมาคมด้วย

     

             บัวนั้นอับอาบเพราะคนที่ไม่เคยมาวัด หรือแม้กระทั่งคนที่มาวัด ก็มีแต่คนรังเกียจบัว หลังจากนั้นบัวก็ไม่เคยมาที่วัดนี้หรือเข้ามาใกล้บริเวณวัดแห่งนี้อีกเลย แต่ก็นั่นแหละทุกคนๆก็เอาเรื่องของบัวไปเล่าลือกันจนทั่วจังหวัด จนทุกคนนั้นไม่คุยกับบัว และไม่คบค้าสมาคมด้วย

           บัวนั้นรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เป็นที่ต้องการของคนที่นี่อีกแล้ว เลยตัดสินใจย้ายที่อยู่ไปอยู่อีกจังหวัดหนึ่งแทน เพราะอับอายต่อเสียงนินทาที่ดังไปทั่วจังหวัด

     

             ในส่วนของอิฐนั้น พอรู้ข่าวบัวออกไปจากจังหวัดนี้ก็ดีใจมาก และคิดว่าเรื่องที่ตัวเองหลอกกินข้าวฟรีและหลอกให้ซื้อของให้จะไม่มีใครพูดถึงอีกแล้ว แต่ครั้นพอบัวไปได้ไม่นาน ข่าวของอิฐก็เริ่มแพร่กระจายไปแทน เพราะคนที่โดนอิฐหลอกให้ซื้อของให้ โดนหลอกให้พาไปกินข้าวฟรีๆนั้น มีจำนวนไม่น้อยเลย พอโดนหลอกไปสองสามหน ก็เลิกมาวัดเพราะกลัวจะมาเจออิฐ

     

             มิหนำซ้ำยังเอาอิฐไปพูดต่อว่าให้ระวังอิฐเอาไว้ให้ดี อย่าคบเลยถ้าหากเป็นไปได้ และแน่นอนหลังจากนั้น เวลาอิฐมาวัดทุกๆคนก็จะเบือนหน้าหนี แล้วก็พูดแบบเลี่ยงๆ เวลาที่อิฐจะชวนไปกินข้าวหรือจะไปซื้อของ

     

           ตัวของอิฐพอเห็นทุกคนทำแบบนี้ ก็คิดว่าพกวเค้าคงรู้กันแล้ว ก็เลยเลิกมาวัดนี้แต่เปลี่ยนไปวัดอีกจังหวัดหนึ่ง แต่ด้วยนิสัยหรือสันดานก็มิอาจรู้ได้ อิฐยังคงทำตัวเหมือนเดิม 

     

             ทำเหมือนกับที่ทำกับวัดก่อนหน้า ซึ่งแรก ๆ ก็ไม่มีใครสงสัยอะไร ทุกอย่างก็ดำเนินไปได้ด้วยดี แต่กงกรรมกงเกวียนก็มาถึง

     

           เมื่อวันหนึ่งอิฐได้เจอกับหนุ่มรูปงามที่วัด อิฐนั้นหลงหนุ่มคนนี้มาก ถึงขั้นส่งเสียเลี้ยงดูปูเสื่อทุกอย่าง อยากได้อะไร อิฐจะทุ่มให้จนหมด เพราะรักมาก

     

           แล้วพอเวลาผ่านไปได้ปีหนึ่งเงินเก็บของอิฐก็เริ่มที่จะหมดลง งานที่ได้ทำนั้นก็เริ่มมีน้อยลงเพราะภาวะเศรษฐกิจ อิฐนั้นเลยต้องหยิบยืมจากเพื่อนฝูง เพื่อเอามาให้แฟนตัวเอง หยิบยืมแล้วก็ไม่มีเงินมาจ่ายคืน ก็โดนทวงหนี้อย่างหนัก เลยต้องไปยืมเงินนอกระบบ ซึ่งดอกเบี้ยก็มหาโหด ยืมมาแล้วก็ไม่มีปัญหาใช้คืน เพราะยอดทบต้นทบดอกเยอะมาก

           

           วันดีคืนดี เจ้าหนี้ก็มาทวง พอไม่มีให้ก็ซ้อมปางตาย ครั้นพอแฟนของอิฐมาเห็นก็รีบเผ่นหนีไปจากอิฐทันที อิฐรั้งยังไงก็ไม่อยู่ พอจนตรอกอิฐเลยต้องเปลี่ยนชื่อนามสกุล แล้วหนีหายไปจากจังหวัดที่ตัวเองอยู่ แล้วก็ต้องอยู่แบบหลบๆซ่อนๆไปตลอดชีวิต เพราะกลัวเจ้าหนี้จะตามมาเจอ ไปทำงานก็ไม่กล้าให้ชื่อจริง สุดท้ายต้องกลายมาเป็นคนขอทาน ขอข้าววัดกินประทังชีวิตไปจนตลอดชีวิต

     

             และนี่ก็คือเรื่องเล่ากฎแห่งกรรมที่เมื่อเราทำกรรมกับใครไว้ วันหนึ่งผลของมันจะตามไล่ล่ามา และคุณจะไม่มีวันหนีมันพ้น เพราะกฎแห่งกรรม ยุติธรรมเสมอ

     

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น